English Test หรือ การวัดระดับภาษาอังกฤษ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินการสอบวัดระดับภาษามาในหลายรูปแบบ และที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆส่วนใหญ่ก็จะเป็น TOEIC, TOEFL, IELTS และ PTE ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไป อาจเกิดข้อสงสัยว่าทำไมต้องสอบแบบนั้น แบบนี้ แล้วมันต่างกันยังไงในเมื่อก็สอบภาษาอังกฤษเหมือนกัน วันนี้เราจะมาดูความแตกต่างกันค่ะ ว่าแต่ละแบบใช้ที่ไหน ยังไง คะแนนเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้ ไปดูกันเลย!
TOEIC หรือที่คนไทยเราเรียกสั้นๆว่า โทอิก เป็นการสอบวัดผลทางภาษาอังกฤษสำหรับคนมีความต้องการสมัครงานในองค์กรต่างๆ เพื่อยืนยันว่าเรานั้นสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดี จัดทำขึ้นโดย Educational Testing Service (ETS) สำหรับในประเทศไทยนั้น มีหลายหน่วยงานและสถาบันต่างๆมากมายที่ต้องการผล TOEIC เช่น ธุรกิจการบิน การโรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง สถาบันการเงิน ปิโตรเคมี ยานยนต์ โรงพยาบาล รวมทั้งบริษัทข้ามชาติอื่นๆ โดยนำไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น สำหรับพิจารณาทักษะทางภาษาอังกฤษเพื่อรับสมัครเข้าทำงาน ปรับเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง คัดเลือกเพื่อไปอบรมสัมมนาต่างประเทศ เป็นต้น
TOEIC มีการสอบ 2 รูปแบบคือ
ส่วนใหญ่ที่ใช้ในการสมัครงานจะมี 2 Parts ได้แก่ ข้อสอบฟังและอ่าน โดยตัวข้อสอบจะเป็นแบบ Multiple Choices ทั้งหมด
คะแนน TOEIC ทั้ง 2 Parts มีดังนี้
Listening เต็ม 495
Reading เต็ม 495
Total = 990
สำหรับมาตรฐานการสมัครงานทั่วไปอยู่ที่ 600 - 650 คะแนน ส่วนการสมัครเรียนต่อออสเตรเลีย คะแนนจะขึ้นอยู่กับคอร์สที่เลือกเรียน
TOEFL หรือ โทเฟล คือการทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก เป็นของอเมริกา ไม่ว่าคุณต้องการศึกษาต่อที่ไหนก็จะใช้ผลการสอบ TOEFL ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ (Academic English) ทั้งนี้เพื่อทดสอบว่าเรามีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการมากน้อยแค่ไหน
ในปัจจุบัน การเรียนต่อต่างประเทศ ในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศเช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา ก็ยอมรับผลสอบ TOEFL เพื่อการพิจารณาในการรับสมัครแล้ว ซึ่งรวมถึงเกือบทุกมหาวิทยาลัยใช้คะแนน TOEFL สำหรับการรับเข้าเรียน และการให้ทุนการศึกษา สามารถเลือกการสอบได้ทั้ง Internet-based Test (iBT) หรือ Paper-based Test (PBT)
โดยมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะใช้คะแนนขั้นต่ำที่ 79/120 หรือ550/677 (แบบเก่า)
คะแนนสอบ TOEFL ถือว่าเป็นมาตรฐานในการเรียนต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะอเมริกา การสอบในปัจจุบันเรียกว่า Internet-Based Test (TOEFL IBT)
ส่วนคะแนนเต็มของการสอบแบบ IBT คือ 120 คะแนน (เทียบกับรุ่นเก่า Paper Base เต็ม 677)
โดยควรได้คะแนนขั้นต่ำ Part ละ 30 คะแนน สำหรับเรียนต่อในระดับปริญญาในต่างประเทศคือ 80 (หรือเทียบเท่า 550 ในแบบเดิม -Paper-Based Test) หากจะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ส่วนใหญ่ต้องให้ได้ 100 ขึ้นไปนะคะ
IELTS หรือที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีว่า ไอเอลส์ เป็นระบบทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่มีความประสงค์ที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งยังได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากสถาบันการศึกษาในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
IELTS เป็นระบบวัดผลภาษาอังกฤษที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยให้คะแนนทักษะ ทั้ง 4 แยกจากกัน สามารถวัดผลได้ชัดเจนแม่นยำ และถูกต้องตรงกับระดับความสามารถ ในการใช้ภาษาที่แท้จริงของผู้สอบ
ผลคะแนนสอบไอเอล (IELTS) แบ่งออกเป็น 9 ระดับ ดังนี้
ระดับ 9 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเลิศ
เปรียบเสมือนเจ้าของภาษามากที่สุด รวมถึงสามารถใช้หลักไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
ระดับ 8 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษดีมาก
สามารถใช้ได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว แต่อาจจะมีข้อผิดพลาดบางครั้งบางคราวในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย
ระดับ 7 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษดี
แต่ยังมีข้อผิดพลาดหรือเข้าใจผิดในบางครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าสามารถใช้ภาษาที่มีความซับซ้อนได้ดี ในระดับผลภาษา 7.0 นั้น ในมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียจะเพื่อศึกษาต่อในคณะแพทย์ศาสตร์ และพยาบาล
ระดับ 6 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับใช้งานได้ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย
รู้และเข้าใจภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงแม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดบ้าง ในระดับผลภาษา 6.5 โดยไม่มีพาร์ทไหนต่ำกว่า 6.0 คือขั้นต่ำที่ทางมหาวิทยาลัยยอมรับเข้าเรียนต่อได้โดยตรง
ระดับ 5 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับปานกลาง
ส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารในระดับพื้นฐานที่ตนเองถนัดได้ดี เข้าใจความหมายกว้างๆ แต่ยังมีข้อผิดพลาดบ่อย ๆ
ระดับ 4 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างจำกัด
โดยสามารถสื่อสารจำกัดเฉพาะเรื่องที่ตนเองคุ้นเคย จะมีปัญหาในการสื่อสารผ่านการแสดงความคิดเห็น และไม่สามารถใช้ภาษาที่ซับซ้อนได้
ระดับ 3 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างจำกัดมาก
สามารถรู้และเข้าใจกับความหมายที่คุ้นเคยเท่านั้น และมีการสับสนในการสื่อสารบ่อย
ระดับ 2 ไม่สามารถสื่อสารแต่สามารถใช้คำศัพท์พื้นฐานได้
ซึ่งจะมีการสับสนใจการใช้ประโยคไม่สามารถสื่อสารได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ใช้ได้แค่คำศัพท์สั้น ๆ ที่คุ้นเคยเท่านั้น
ระดับ 1 ไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเลย
ซึ่งจะไม่เข้าใจในการใช้ประโยคในการสื่อสารนอกจากคำศัพท์เล็กน้อย
PTE Academic เป็นแบบทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ในการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยการทดสอบจะครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะคือฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยทดสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จะมีส่วนคล้ายกับการสอบ IELTS
PTE พัฒนาโดย University of London ในปี 1982 โดยรวบรวมข้อมูล ข้อสอบ และ Accent ของผู้ใช้ภาษาอังกฤษทั่วโลกและพัฒนาออกมาเป็น Exam Test
PTE เป็นระบบการสอบแบบใหม่ที่เริ่มขื้นในปี 2009 ได้รับการอนุมัติจาก GMAC (Graduate Management Admission Council (GMAC) เป็นองค์กรเดียวกับที่รับผิดชอบดูแล การสอบ GMAT นอกจากนี้ PTE ได้รับการรับรองให้ใช้กว่า 6,000 องค์กรและรับรองให้สามารถใช้ในการยื่นขอ Migration ใน Australia